วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ข้อมูลรถรางท่องเที่ยว เมืองพิษณุโลก

ข้อมูลรถรางท่องเที่ยว เมืองพิษณุโลก

รถราง

วัดใหญ่

ศาลพระนเรศวร

พระยาจักรี
“รถราง” TRAMWAY มีกำเนิดขึ้นในประเทศไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ปี พ.ศ. 2430 เป็นประเทศแรกในเอเชีย• จาก พ.ศ. 2431 จนถึง พ.ศ. 2511 ร้อยกว่าปีที่เริ่มมีและสามสิบกว่าปีที่หมดไป..สำหรับยานที่มีวิ่งเป็นประเทศแรกในเอเชีย
• เมื่อเอ่ยถึง “รถราง” คนยุคปัจจุบันที่มีอายุไม่เกิน 30 ปี คงจะเคยเห็นกันแค่เท่าที่มีการเก็บรักษาไว้ในสถานที่ต่าง ๆ ทั้งของราชการและเอกชน แต่สำหรับผู้ที่มีระดับความแก่เกินกว่านั้น โดย เฉพาะพวก 40 ปีขึ้นไปอาจเห็นหรือได้เคยใช้บริการกันอยู่บ้างเมื่อตอนเด็ก ๆ
• “รถราง” หรือที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า “Tramway” มีกำเนิดขึ้นในประเทศไทยตั้งแต่สมัย “รัชกาลที่ 5” จากการก่อตั้งของ “ชาวเดนมาร์ค” จัดเดินรถรางขึ้นใน “เมืองบางกอก” ตามการเรียกขานในสมัยนั้น ตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2430 เปิดเดิน “รถราง” คันแรกนี้ยังไม่ได้แล่นได้ด้วยตัวของมันเอง แต่จะเคลื่อนที่ไปด้วยการใช้ “ม้าลาก” ซึ่งได้เทียมม้าไว้ด้านหน้ารถ จากนั้นได้มีการเปิดดำเนินกิจการ “รถรางไฟฟ้า” ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2437 หลังจากที่สิ้นสุด “สงครามโลกครั้งที่สอง” ได้แค่สี่ห้าปี สัมปทานการเดินรถก็ได้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2492 รัฐบาลก็เข้ามาดำเนินกิจการต่อในนามของ บริษัท การไฟฟ้ากรุงเทพฯ จำกัด ในสังกัดของ “กรมโยธาเทศบาลและกระทรวงมหาดไทย” ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2493 หลังจากที่มีการพัฒนาบ้านเมืองขนานใหญ่เกิดขึ้นในสมัย “จอมพลผ้าคะม้าแดง” พร้อมๆ กับนโยบายที่จะให้ “เลิกเดินรถรางและรถสามล้อถีบ” ในเขต “พระนคร-ธนบุรี” การเดินรถจึงค่อยๆ ลดบทบาทลงโดยการเลิกวิ่งจบสิ้นเด็ดขาดในเขตเมืองหลวงไปเมื่อ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2511 ที่ได้มี “รถราง” ใช้อยู่ร่วม “80 ปี” พอดี
รถราง แบ่งออกได้เป็น 2 แบบ
• แบบแรก.- ที่เป็นตัวถึงไม้เปิดโล่งและผืนผ้าใบที่ม้วนเก็บห้อยไว้กับขอบบนทั้งสองข้างสำหรับกันแดดกันฝุ่น
• แบบที่สอง.- จะเป็นรุ่นที่นิยมเรียกกันว่า “ไอ้โม่ง” ตามรูปทรงของหลังคาที่มีความโค้งอยู่มากและยังจะสร้างตัวถึงด้วยโครงเหล็ก ซึ่งนับว่าทันสมัยมากในยุคนั้น

สภาพภายในตัวเมืองพิษณุโลก
• นอกจากเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และธรรมชาติที่สวยงามแล้ว สภาพในเขตเทศบาลนคร ยังมีการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างที่สวยงามน่าสนใจไม่แพ้กัน มีการผสมผสานเพื่อการอนุรักษ์และสืบสานศิลปวัฒนธรรม ความเป็นมาของเมืองในอดีต เช่น พิพิธภัณฑ์ชาวแพ, โคมไฟรายทาง, คูเมือง, สะพานเอกาทศรสเป็นต้น ทุกๆ ที่ในจังหวัดจึงสมควรที่น่าเที่ยวชมเพื่อทัศนศึกษาและพักผ่อนหย่อนใน เป็นอย่างยิ่ง
• เส้นทางที่ “รถรางท่องเที่ยว” วิ่งผ่านล้วนเป็นเส้นทางที่กำหนดไว้อย่างครอบคลุม มีทั้งสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ สถานที่น่าสนใจและทัศนียภาพอันสวยงาม ใช้เวลาในการเดินทาง 40-50 นาที ผู้ที่มาเที่ยวชมก็จะได้เดินทางสัมผัสความงดงามต่างๆ ด้วยยานพาหนะโดยสารที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 100 ปี
ข้อมูลสถานที่สำคัญต่างๆ
• สถานีรถไฟ.- จะพบหัวรถจักรที่มีความเก่าแก่ใช้ขับเคลื่อนขบวนรถไฟเมื่อครั้งในอดีตและเป็นชุมทางคมนาคมที่สำคัญ
• พระบรมราชานุสาวรีย์เจ้าพระยาจักรี.- เดิมเรียกว่า “เนินดินอะแซหวุ่นกี้” เป็นที่อะแซหวุ่นกี้ แม่ทัพพม่าบุกล้อมเมืองพิษณุโลก เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์ได้ต่อสู้อย่างเต็มที่ จนอะแซหวุ่นกี้ต้องขอดูตัวแม่ทัพไทยผู้เก่งกล้า เจ้าพระยาจักรีได้ออกมายืนบนเนินดินนี้ และอะแซหวุ่นกี้ได้ทำนายว่า พระยาจักรีจะได้เป็นกษัตริย์ของไทยต่อไป ภายหลังปลายแผ่นดินสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ท่านก็ได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ คือ “สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช” ปฐมกษัตริย์แหงพระบรมจักรีวงศ์
• ตะแลงแกง.- เดินเป็นสถานที่ประหารชีวิตนักโทษประหารด้วยวิธีตัดคอโดยเพชรฆาตลงดาบ ปัจจุบันเทศบาลนครได้สร้างเป็นลานอเนกประสงค์ในกิจกรรมต่างๆ และเป็นจุดที่สามารถชมทิวทัศน์สองฝั่งแม่น้ำน่าน, สวนชมน่าน, สถานนเรศวรและสะพานเอกาทศรส ฯลฯ
• กำแพงคูเมือง.- เคยเป็นที่ป้องกันมิให้ข้าศึกเข้าจู่โจมโดยง่ายและยังใช้เพื่อการระบายน้ำออกจากเมือง การอุปโภค บริโภค สัญจรเพื่อการค้าขาย ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ปัจจุบันได้ประดับตกแต่งบริเวณคูเมืองนี้ให้มีความสวยงาม โดยเฉพาะเวลากลางคืนจะมีแสงจากโคมไฟรายทาง จึงเป็นถนนที่น่าชมอีกเส้นหนึ่ง
• จวนผู้ว่าราชการจังหวัด.- และศาลากลางจังหวัดศูนย์กลางส่วนราชการต่างๆ
• วัดวิหารทอง.- มีเจดีย์ขนาดใหญ่มาก และเสาศิลาแลงขนาดใหญ่ประมาณ 7 ต้น เดิมเป็นที่ประดิษฐานพระอัฎฐารส ซึ่งปัจจุบันอยู่วัดสระเกศ เป็นสถาปัตยกรรมสมัยสุโขทัยที่สวยงามและประณีตมาก
• ศาลสมเด็จพระนเรศวร, พระราชวังจันทน์.- ตั้งอยู่ในเขต ร.ร. พิษณุโลกพิทยาคม ซึ่งเดิมเป็นพระราชวังจันทน์ เป็นวังที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวร ในอนาคตอันใกล้สถานที่แห่งนี้จะได้รับการจัดเป็นอุทยานประวัติศาสตร์และพิพิธภัณฑ์ พระราชวังจันทน์อย่างสมบูรณ์แบบ เพื่อเป็นแหล่งโบรณสถานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของประเทศ
• วัดพระศรีมหาธาตุ (วัดใหญ่).- เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธชินราช พระพุทธรูป ซึ่งมีความงดงามที่สุดในโลก สร้างในสมัยพระมหาธรรมราชาลิไท แห่งสุโขทัย พร้อบกับสร้างเมืองสองแคว ในปี พ.ศ. 1900 ภายในบริเวณวัดประกอบด้วยวิหารและระเบียงคตที่มีรูปทรงสวยงาม บานประตูวิหารเป็นบานไม้แกะสลักประดับมุกและอกเลาลวดลายวิจิตรสวยงามมาก
• สวนชมน่าน.- ซึ่งเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวเมืองสองแคว ทั้งเป็นที่ตั้งพิพิธภัณฑ์ชาวแพ ที่จำลองเอาสภาพเรือนแพในอดีตขึ้นมาไว้บนบกได้อย่างสวยงาม และลงตัว
• ไนท์บาซ่าร์.- ที่ทางเทศบาลนครจัดทำได้เป็นสัดส่วน และสวยงามยังสามารถช่วยเป็นเขื่อนป้องกันน้ำได้อีกทางหนึ่ง มีสินค้าต่างๆ มากมาย มีอาหารหลากหลายชนิดให้เลือกชิมอย่างจุใจ
เส้นทางเดินรถรางท่องเที่ยว
• เริ่มต้นที่ วัดใหญ่-สวนชมน่าน-พิพิธภัณฑ์ชาวแพ-สถานีรถไฟ-หอนาฬิกา-พระบรมราชานุสาวรีย์เจ้าพระยาจักรี-สะพานเอกาทศรถ-ตะแลงแกง-คูเมือง-ร.ร. จ่านกร้อง-ศาลากลางจังหวัด-วัดวิหารทอง-ศาลสมเด็จพระนเรศวร(พระราชวังจันทน์)-ศาลหลักเมือง-วัดใหญ่
ตั้งแต่เวลา 09.00 น. – 15.00 น.
• อัตราค่าโดยสาร : เด็ก,นักเรียน 10 บาท, ผู้ใหญ่ 20 บาท
(เส้นทางและ อัตราค่าโดยสารอาจมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม)
สอบถามได้ที่
• การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือเขต 3 209/7 ถ.บรมไตรโลกนารถ อ.เมือง จ.พิษณุโลก 65000 โทร. 0-5525-2742, 0-5525-9907
หรือ บริษัท พิษณุโลกบริการ จำกัด “รถเมล์บ้านเรา” โทร. 0-5525-2258, 0-5528-4144
พระพุทธชินราชงามเลิศ ถิ่นกำเนิดพระนเรศวร สองฝั่งน่านล้วนเรือนแพ หวานฉ่ำแท้กล้วยตาก ถ้ำและน้ำตกหลากตระการตา

วนอุทยานเขาพนมทอง จังหวัดพิษณุโลก

วนอุทยานเขาพนมทอง จังหวัดพิษณุโลก
• วนอุทยานเขาพนมทอง อยู่ในท้องที่บ้านไทรงาม ตำบลท่าหมื่นราม บ้านหนองขาม ตำบลพันสาลี อำเภอวังทอง และบ้านซำรัง ตำบลชมภู อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก ห่างจากเส้นทางสายวังทอง-เนินมะปราง (กิโลเมตร 10) ประมาณ 2 กิโลเมตร มีเนื้อที่ประมาณ 12,500 ไร่ โดยกรมป่าไม้ได้ประกาศจัดตั้งเป็นวนอุทยานเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2536
ลักษณะภูมิประเทศ
• พื้นที่เป็นภูเขาสูงโดดเด่นแยกจากพื้นที่โดยรอบชัดเจน ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าดิบแล้ง รอบๆเป็นหน้าผาสูงชันเกือบทุกด้าน ทำให้มองเห็นทัศนียภาพด้านล่างให้กว้างไกล พื้นที่บนเขาจะเป็นที่ราบกว้างใหญ่ สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 468 เมตร
ลักษณะภูมิอากาศ
• สภาพภูมิอากาศแบ่งออกได้เป็น 3 ฤดู คือ ฤดูฝนเริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงกันยายน ฤดูหนาวเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงมกราคม ฤดูร้อนเริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม
พันธุ์ไม้และสัตว์ป่า
• พื้นที่ป่าส่วนใหญ่เป็นป่าดงดิบมีบางส่วนอยู่ใกล้ๆบริเวณลานหินเป็นป่าเต็งรัง บริเวณเชิงเขาใกล้ๆที่ราบเป็นป่าเบญจพรรณและรอบๆเชิงเขาเป็นป่าไผ่ ซึ่งขึ้นอยู่หนาแน่น พันธุ์ไม้ที่สำคัญที่พบได้แก่ ไม้ยาง แดง มะค่า ตะแบก เต็ง เหียง พลวง ตะเคียน ไผ่ชนิดต่างๆโดยเฉพาะไผ่ซางมีมาก
• สัตว์ป่าที่พบได้แก่ ลิง อีเห็น กระรอก กระแต ไก่ป่า และนกชนิดต่างๆ
บ้านพัก-บริการ 
• วนอุทยานเขาพนมทอง ไม่มีบ้านพักไว้บริการแก่นักท่องเที่ยว หากนักท่องเที่ยวมีความประสงค์จะเดินทางไปพักแรม โปรดนำเต็นท์ไปกางเอง แล้วไปติดต่อขออนุญาตกับหัวหน้าวนอุทยานเขาพนมทองโดยตรง หรือติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ฝ่ายจัดการวนอุทยาน สำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กรุงเทพฯ 10900 โทร. 0-25614292-3 ต่อ 719 หรือ สำนักบริหารจัดการในพื้นที่อนุรักษ์ที่ 11 (พิษณุโลก) โทร.(055)248408 ในวันและเวลาราชการ
แหล่งท่องเที่ยว 
• วนอุทยานเขาพนมทองมีจุดเด่นที่น่าสนใจได้แก่ ถ้ำฤาษี ลำห้วย และหนองน้ำธรรมชาติ ซึ่งมีน้ำซับไหลอยู่ตลอดทั้งปี มีจุดชมวิวและลานหินที่สวยงามมาก
การเดินทาง
• รถยนต์ จากจังหวัดพิษณุโลกไปทางอำเภอวังทองเดินทางตามเส้นทางวังทอง-เนินมะปราง ช่วงระยะกิโลเมตรที่ 10 แยกจากเส้นใหญ่นี้เข้าไปอีก 2 กิโลเมตร ก็จะถึงวนอุทยานเขาพนมทอง ระยะทางทั้งหมด 46 กิโลเมตร และอีกเส้นทางหนึ่งเป็นถนนลูกรัง สายวัดตายม-เนินมะปราง ตัดผ่านด้านทิศใต้ของวนอุทยานเขาพนมทองโดยแยกซ้ายมือเข้าหาพื้นที่บริเวณใกล้บ้านหนองขามเพียง 2 กิโลเมตร
สถานที่ติดต่อ
• วนอุทยานเขาพนมทอง สำนักบริหารจัดการในพื้นที่อนุรักษ์ที่ 11 (พิษณุโลก) ต.พันสาลี อ.วังทอง จ.พิษณุโลก 

อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า จังหวัดพิษณุโลก

 อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า  จังหวัดพิษณุโลก
• อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ตั้งครอบคลุมพื้นที่รอยต่อของสองจังหวัด คือ อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลยและอำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก ภูหินร่องกล้าอันเป็นพื้นที่เป็นแหล่งกำเนิดของประวัติศาสตร์การสู้รบอันยาวนานเป็นวีรกรรมของนักรบไทย ความขัดแย้งของลัทธิและแนวความคิดที่นำไปสู่ความสูญเสียเลือด ชีวิตและน้ำตา ภาพประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้ ตลอดจนสภาพสิ่งก่อสร้างในอดีตจะถูกบันทึกเก็บรักษาไว้ เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้ทำการศึกษาถึงผลของการใช้กำลังเข้าประหัตประหาร ความสูญเสียที่ประเมินค่ามิได้ อันเนื่องมาจากความขัดแย้งทางการเมืองความแตกแยก ความสามัคคีของคนในชาติ อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า มีเนื้อที่ประมาณ 307 ตารางกิโลเมตร หรือ 181,875 ไร่
ลักษณะภูมิประเทศ
• สภาพภูมิประเทศโดยทั่วไปเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน ประกอบด้วยยอดภูเขาที่สำคัญคือ ภูแผงม้า ภูขี้เถ้า ภูลมโล ภูหินร่องกล้า โดยมีภูลมโลเป็นยอดเขาที่สูงที่สุด สูงประมาณ 1 ,664 เมตรจากระดับน้ำทะเล เทือกเขาเหล่านี้จะมีความสูงลดหลั่นลงไปจากด้านทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตก และ เป็นแหล่งกำเนิดของแม่น้ำลำธารหลายสาย เช่น ห้วยลำน้ำไซ ห้วยน้ำขมึน ห้วยออมสิงห์ ห้วยเหมือดโดน และห้วยหลวงใหญ่ 

ลักษณะภูมิอากาศ
• ภูหินร่องกล้ามีสภาพภูมิอากาศคล้ายภูกระดึงและภูหลวงเนื่องจากมีความสูงไล่เลี่ยกันอากาศจะหนาวเย็นเกือบตลอดปี โดยเฉพาะในฤดูหนาวอุณหภูมิจะต่ำมากประมาณ 0-4 องศาเซลเซียส มีหมอกคลุมทั่วบริเวณ ส่วนฤดูร้อนอากาศจะเย็นสบายฝนตกชุกในฤดูฝน อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปี ประมาณ 18-25 องศาเซลเซียส
พันธุ์ไม้และสัตว์ป่า
• อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ปกคลุมไปด้วยป่าไม้ 3 ชนิด คือ ป่าเต็งรัง ป่าดิบเขา และป่าสนเขา ป่าเต็งรังเป็นป่าที่ขึ้นในพื้นที่ระดับต่ำบริเวณเชิงเขา พื้นที่เป็นดินที่ขาดความอุดมสมบูรณ์และค่อนข้างแห้งแล้ง พันธุ์ไม้ที่พบได้แก่ เต็ง รัง พยอม เหียง ตะคร้อ พลวง ฯลฯ ส่วนป่าดิบเขาจะขึ้นในบริเวณเขาสูง ซึ่งมีปริมาณน้ำฝนค่อนข้างมาก อากาศชื้น เป็นป่ารกทึบ พันธุ์ไม้ที่พบเห็นทั่วไป ได้แก่ ก่อเดือย ก่อหัวหมู อบเชย ทะโล้ ส่วนไม้พื้นล่าง ได้แก่ หวาย ปาล์มชนิดต่าง ๆ สำหรับ ป่าสนเขาเป็นป่าบนที่ราบหลังภู มีสนสองใบและสนสามใบขึ้นปะปนกัน ส่วนใหญ่เป็นสนสองใบ บางแห่งอยู่รวมกันเป็นป่าสนกว้างใหญ่
• นอกจากนี้ยังพบกล้วยไม้ป่าดอกไม้ป่าหลายชนิดขึ้นอยู่ตามลานหิน เช่น ม้าวิ่ง เอื้องตาหิน เอื้องคำหิน เอื้องสายสามสี ช้องนางคลี่ เหง้าน้ำทิพย์ กุหลาบขาว กุหลาบแดง ฟองหิน รวมทั้งมอส เฟิร์น ไลเคนล์ และตะไคร่ชนิดต่างๆซึ่งในช่วงปลายฤดูฝนต่อฤดูหนาวดอกไม้ป่าเหล่านี้จะออกดอกบานสะพรั่งมีสีสันงดงาม
• ในอดีตภูหินร่องกล้า เคยมีสัตว์ป่าหลายชนิด เช่น เสือ กวาง เก้ง กระจง นกชนิดต่าง ๆ ครั้นต่อมาเมื่อกลายเป็นแหล่งอาศัยของคนจำนวนมาก และยังเคยเป็นสมรภูมิแห่งการสู้รบมาก่อน สัตว์ป่าต่าง ๆ จึงถูกล่าเป็นอาหาร ในปัจจุบันเหตุการณ์ต่าง ๆ สงบลง จึงมีสัตว์ป่าขนาดใหญ่ เช่น เสือ เก้ง กระจง หมี และนกหลายชนิดเข้ามาอาศัยอยู่มากขึ้น
แหล่งท่องเที่ยว
• โรงเรียนการเมืองการทหาร อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 6 กิโลเมตร มีสภาพเป็นป่ารกทึบหนาแน่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ในอดีตเคยเป็นสถานที่สำหรับให้การศึกษาตามแนวทางของลัทธิคอมมิวนิสต์ ในบริเวณโรงเรียนการเมืองการทหาร จะประกอบไปด้วยบ้านฝ่ายพลเรือน ฝ่ายพลาธิการ ฝ่ายสื่อสาร และสถานพยาบาล ส่วนเหล่านี้มีทั้งหมด 31 หลัง เป็นบ้านหลังเล็ก ๆ กระจายอยู่อย่างเป็นระเบียบ ภายในบ้านแต่ละหลังจะมีแคร่สำหรับนอน และโต๊ะสำหรับเขียนหนังสือทำด้วยไม้กระดานอย่างหยาบ ๆ เศษข้าวของกระจายอยู่เกลื่อน บางหลังเริ่มผุพังเพราะถูกปล่อยให้ร้างหลังจากมวลชนเข้ามอบตัวแล้ว นอกจากนี้บริเวณตอนกลางของโรงเรียนการเมืองการทหาร มีรถแทรกเตอร์จอดอยู่ 1 คัน ซึ่ง ผกค. ทำการยึดจากบริษัท พิฆเนตร แล้วเผาทิ้งไว้
• สำนักอำนาจรัฐ อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของอุทยานฯ ห่างจากที่ทำการอุทยานฯประมาณ 3 กิโลเมตร เป็นสถานที่ดำเนินการปกครอง มีการพิจารณาและลงโทษผู้กระทำผิดหรือละเมิดต่อกฎลัทธิมีคุกสำหรับขังผู้กระทำความผิด มีสถานที่ทอผ้าและโรงซ่อมเครื่องจักรกล
• หมู่บ้านมวลชน เป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มมวลชนมีอยู่หลายหมู่บ้าน เช่นหมู่บ้านดาวแดง หมู่บ้านดาวชัย แต่ละหมู่บ้านมีบ้านประมาณ 40-50 หลัง เรียงรายอยู่ในป่ารกริมทางที่ตัดมาจากอำเภอหล่มสักลักษณะบ้านเป็นบ้านไม้หลังเล็ก ๆ ไม่ยกพื้น หลังคามุงด้วยกระเบื้องไม้บ้านแต่ละหลังจะมีหลุมหลบภัยทางอากาศอยู่ด้วย
• กังหันน้ำ อยู่ตรงข้ามกับโรงเรียนการเมืองการทหาร ใช้หล่อเลี้ยงคนหลายพันคนบนภูหินร่องกล้า สร้างขึ้นโดยนักศึกษาโดยใช้พลังน้ำขับเคลื่อนกังหันเพื่อหมุนแกนครกกระเดื่องตำข้าวซึ่งเปรียบเสมือนโรงสีข้าวของ ผกค.
• โรงพยาบาล อยู่ห่างจากสำนักอำนาจรัฐ ประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นโรงพยาบาลกลางป่าที่มีอุปกรณ์ในการรักษาคนป่วยเกือบครบถ้วน มีห้องปรุงยา ห้องพักฟื้น และยาชนิดต่าง ๆ เป็นอันมาก
• ลานหินแตก อยู่ห่างจากฐานพัชรินทร์ ประมาณ 300 เมตร ลักษณะเป็นหินที่มีรอยแตกเป็นแนวเป็นร่องเหมือนแผ่นดินแยก รอยแตกนี้บางรอยก็มีขนาดแคบพอให้รากต้นหญ้าชอนไชไปได้เท่านั้น บางรอยกว้างพอคนก้าวข้ามได้ และบางรอยกว้างมากจนไม่สามารถกระโดดข้ามได้ ความลึกของร่องหินแตกเหล่านั้นไม่สามารถจะคะเนได้ ลักษณะเช่นนี้สันนิษฐานว่าอาจจะเกิดจากการโก่งตัวหรือเคลื่อนตัวของผิวโลก จึงทำให้พื้นหินนั้นแตกเป็นแนวนอกจากนี้บริเวณหินแตกยังปกคลุมไปด้วยมอส ไลเคนส์ ตะไคร่ เฟิร์น และกล้วยไม้ชนิดต่าง ๆ
• ลานหินปุ่ม อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 4 กิโลเมตร อยู่ริมหน้าผาลักษณะเป็นลานหินผุดขึ้นเป็นปุ่มไล่เลี่ยกัน คาดว่าเกิดจากการสึกกร่อนตามธรรมชาติของหินทางเคมีและฟิสิกส์ ในอดีตบริเวณนี้ใช้เป็นที่พักฟื้นของคนไข้เนื่องจากอยู่บนหน้าผา จึงมีลมพัดเย็นสบายเหมาะแก่การนั่งพักผ่อน
• ผาชูธง อยู่ห่างจากลานหินปุ่มประมาณ 500 เมตร เป็นหน้าผาสูงชันสามารถเห็นทิวทัศน์ได้กว้างไกล โดยเฉพาะภาพวิวพระอาทิตย์ตกดินจะสวยงามไม่แพ้จุดชมวิวอื่น ๆ บริเวณนี้เคยเป็นสถานที่ที่ ผกค.จะขึ้นไปชูธงแดง (ฆ้อนเคียว) ทุกครั้งที่รบชนะทหารของรัฐบาล
• น้ำตกหมันแดง เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ 32 ชั้น ปัจจุบันยังไม่มีทางรถเข้าถึง หากจะเข้าไปเที่ยวให้ติดต่อเจ้าหน้าที่นำทาง
• น้ำตกร่มเกล้าภราดร เป็นน้ำตกฝาแฝด 2 แห่ง ที่อยู่ติด ๆ กัน อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติ บนถนนภูหินร่องกล้าประมาณ 4 กิโลเมตร ก่อนถึงโรงเรียนการเมืองการทหารประมาณ 1 กิโลเมตร จากถนนสายใหญ่ จะต้องเดินตัดลงไปบนทางเท้าที่พึ่งทำขึ้นใหม่เป็นระยะทางประมาณ 800 เมตร ตัวน้ำตกไม่สูงใหญ่นัก แต่สภาพแวดล้อมโดยรอบมีลักษณะเป็นป่าบริสุทธิ์อันงดงามมาก
• น้ำตกศรีพัชรินทร์ ตั้งอยู่ก่อนถึงที่ทำการอุทยานฯบริเวณเชิงเขาประมาณ 4-5 กิโลเมตร ปัจจุบันยังไม่มีทางรถเข้าถึงและยังไม่พร้อมสำหรับการท่องเที่ยว
• น้ำตกผาลาด และ น้ำตกตาดฟ้า ตั้งอยู่บริเวณเชิงภูหินร่องกล้าโดยแยกซ้ายจาก หมู่บ้านห้วยน้ำไซต่อไปประมาณ 2 กิโลเมตร จะถึงที่ทำการพลังงานไฟฟ้าห้วยขมึน อันเป็นที่ตั้งของน้ำตกแก่งลาด ขึ้นเขาต่อไปประมาณ 3-4 กิโลเมตร มีทางเดินแยกซ้ายลงไปน้ำตกตาดฟ้าหรือน้ำตกด่านกอซองเป็นน้ำตกชั้นเดียวขนาดใหญ่ที่สวยงาม 

สิ่งอำนวยความสะดวก มีบ้านพัก ร้านอาหารและสถานที่กางเต้นท์ไว้บริการนักท่องเที่ยว
การเดินทาง
• จากตัวเมืองพิษณุโลก โดยสารรถยนต์ไปตามเส้นทางพิษณุโลก - หล่มสัก ระยะทางประมาณ 68 กิโลเมตร ถึงสามแยกบ้านแยง เลี้ยวขวาเข้าสู่อำเภอนครไทย เป็นระยะทาง 29 กิโลเมตร จากนั้นเดินทางต่อโดยรถสองแถว อีกประมาณ 31 กิโลเมตร จะถึงหน่วยบริการนักท่องเที่ยวและที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า
• จากเมืองเพชรบูรณ์ไปอำเภอหล่มสัก อำเภอหล่มเก่า บ้านวังบาน บ้านโจ๊ะโหวะ จนถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ระยะทางประมาณ 115 กิโลเมตร
การติดต่อ
• ขอรายละเอียดและสำรองที่พักได้ที่ สำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช 61 ถนนพหลโยธิน จตุจักร กทม.10900 โทร. 0-2579-7223 , 0-2561-2919 หรือติดต่อที่อุทยานแห่งชาตภูหินร่องกล้า ตู้ ปณ. 3 อ.นครไทย จ.พิษณุโลก 65120 โทร. 0-5523-3527

อุทยานแห่งชาติน้ำตกชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก

อุทยานแห่งชาติน้ำตกชาติตระการ  จังหวัดพิษณุโลก
• อุทยานแห่งชาติน้ำตกชาติตระการ มีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ในท้องที่อำเภอชาติตระการและอำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลกสภาพทั่วไปเป็นป่าอุดมสมบูรณ์และธรรมชาติที่สวยงาม เป็นต้นว่า น้ำตกชาติตระการ หรือที่ชาวบ้านเรียกติดปากว่า “น้ำตกปากรอง” เพราะตั้งอยู่ที่หมู่บ้านปากรอง หน้าผาสูงชันที่มีสีสันผิดแปลกกันเป็นร่องรอยของศิลปะ ยุคแรกของมนุษย์ คือ รอยแกะสลักกับแผ่นดินและจุดชมวิวทิวทัศน์บนยอดเขาสูง ๆ มีเนื้อที่ประมาณ 543 ตารางกิโลเมตร หรือ 339,375 ไร่ ได้ประกาศจัดตั้งให้เป็น "อุทยานแห่งชาตินำตกชาติตระการ" เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2530
ลักษณะภูมิประเทศ
• สภาพพื้นที่โดยทั่วไปเป็นเทือกเขาและภูเขาสูงสลับซับซ้อน เป็นแหล่งต้นน้ำลำธารที่สำคัญของแม่น้ำหลายสาย เช่น แม่น้ำภาค แม่น้ำแควน้อย ภูเขาหินทรายโดยเฉพาะหน้าผาบริเวณ น้ำตกเพราะเกิดจากการเรียงตัวของชั้นหินประเภทหินทรายที่ทับถมกันมาเป็นเวลานาน ดินเป็นดินทรายเพราะต้นกำเนิดของดินบริเวณนี้คือ หินทราย
ลักษณะภูมิอากาศ 
• โดยทั่วไปอากาศเย็นสบายดี ฤดูร้อนระหว่างเดือนมีนาคม-พฤษภาคม อุณหภูมิประมาณ 25-29 องศาเซลเซียส ฤดูฝนระหว่างเดือนมิถุนายน-ตุลาคม และฤดูหนาวระหว่างเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์อากาศจะหนาวมากในเวลากลางคืน
พันธุ์ไม้และสัตว์ป่า
• สภาพป่าประกอบด้วย ป่าเต็งรัง อยู่ในบริเวณสภาพดินค่อนข้างต่ำ เป็นดินลูกรัง พรรณไม้ที่พบได้แก่ เต็ง รัง เหียง แดง ประดู่ พะยอม เป็นต้น และป่าดิบเขา ขึ้นอยู่ในบริเวณริม ลำธารและพื้นที่ที่มีความชุ่มชื้นสูง ดินมีความอุดมสมบูรณ์ พันธุ์ไม้ที่สำคัญได้แก่ ไม้ยาง กระบาก ก่อ มะม่วงป่า มะค่าโมง ตะแบก เป็นต้น ไม้พื้นล่าง ได้แก่ ปาล์ม หวาย และไผ่ต่าง ๆ
• สัตว์ป่าส่วนใหญ่ จะเข้าไปอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเมี่ยง - ภูทอง ซึ่งอยู่ใกล้กัน สัตว์ป่าที่พบส่วนใหญ่จะเป็นสัตว์ขนาดเล็ก ได้แก่ เก้ง หมูป่า ไก่ป่า กระจง กระรอก กระแต และนกชนิดต่างๆ
สถานที่ท่องเที่ยว
• น้ำตกชาติตระการ เป็นน้ำตกที่มีความสวยงามและยิ่งใหญ่
• เส้นทางศีกษาธรรมชาติ บริเวณใกล้น้ำตก
การเดินทาง
• เส้นแรกจากจังหวัดพิษณุโลก ไปตามเส้นทางหลวงพิษณุโลก-หล่มสัก เลี้ยวซ้ายเข้าอำเภอนครไทย และจากอำเภอนครไทย เดินทางสู่ อำเภอชาติตระการ ก่อนถึงอำเภอชาติตระการ 1 กิโลเมตร มีทางแยกเลี้ยวขวาไปอีกประมาณ 10 กิโลเมตร และเลี้ยวขวาเข้าเส้นทางของอุทยานฯ อีก 2 กิโลเมตร รวมระยะทางประมาณ 145 กิโลเมตร
• เส้นที่สองจากจังหวัดพิษณุโลก ไปตามถนนสายเอเซีย-พิษณุโลก-อุตรดิตถ์ แยกเข้ากิ่งอำเภอแสงขันธ์ (จังหวัดอุตรดิตถ์) เข้าสู่อำเภอชาติตระการเลยไปประมาณ 1 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายไป 10 กิโลเมตร จึงเข้าที่ทำการอุทยานฯ ระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร รวมระยะทางประมาณ 160 กิโลเมตร
สิ่งอำนวยความสะดวก
• อุทยานแห่งชาติน้ำตกชาติตระการ มีบ้านพัก ร้านอาหารและสถานที่กางเต้นท์ไว้บริการนักท่องเที่ยว
การติดต่อ อุทยานแห่งชาติน้ำตกชาติตระการ
• ต.ชาติตระการ, อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลก 65170 โทรศัพท์ : (055) 237028

อุทยานแห่งชาติแก่งเจ็ดแคว จังหวัดพิษณุโลก

อุทยานแห่งชาติแก่งเจ็ดแคว ครอบคลุมพื้นที่วนอุทยานแก่งเจ็ดแคว ป่าสงวนแห่งชาติป่าสองฝั่งลำน้ำแควน้อย (กฎกระทรวงฉบับที่ 704 พ.ศ. 2517) ในท้องที่ตำบลบ้านยาง ตำบลคันโช้ง อำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก ป่าสงวนแห่งชาติป่าสวนเมี่ยง (กฎกระทรวง ฉบับที่ 1,158 พ.ศ. 2529) ท้องที่ตำบลสวนเมี่ยง อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก ป่าสงวนแห่งชาติป่าเขากระยาง (กฎกระทรวง ฉบับที่ 977 พ.ศ. 2525) ในท้องที่ ตำบลหนองกระยาง ตำบลบ้านแยง อำเภอนครไทย , ตำบลบ้านกลาง ตำบลแก่งโสภา อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก พื้นที่ประมาณ 287 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 179,375 ไร่ 
ลักษณะภูมิประเทศ
• ลักษณะภูมิประเทศโดยทั่วไปเป็นเทือกเขายาวสลับซับซ้อน มีสภาพป่าที่อุดมสมบูรณ์ 
พันธุ์ไม้และสัตว์ป่า 
• สภาพป่าโดยทั่วไปประกอบด้วยป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ป่าดิบเขา ป่าดิบแล้ง หนาแน่นด้วยพรรณไม้ที่สำคัญและมีค่าทางเศรษฐกิจ นานาชนิด เช่น สัก มะค่าโมง แดง ประดู่ ตะเคียน ยาง ฯลฯ เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าชนิดต่าง ๆ เช่น เก้ง หมูป่า ลิง ค่าง อีเห็น เม่น กระต่าย นกมากมายหลายชนิด งูชนิดต่าง ๆ ตะกวด โดยเฉพาะสัตว์น้ำจำพวกปลามีมากหลายชนิด 
สถานที่ท่องเที่ยว
• แก่งเจ็ดแคว เป็นแนวหินอยู่ในลำน้ำแควน้อย ฤดูน้ำหลากที่กระแสน้ำไหลแรงจะมีเสียงน้ำ กระทบโขดหินดังกึกก้อง ฤดูแล้งน้ำน้อยแต่ใสจะมองเห็นแนวหินโขดหิน 
• แก่งลานกลอย เป็นแนวพื้นหินกว้างกวางลำน้ำแควน้อย 
• แก่งคันนาน้อย , แก่งโจน ซึ่งอยู่แนวเดียวกับแก่งเจ็ดแคว 
• แก่งบัวดำ ซึ่งเป็นแก่งที่สวยอีกแห่งหนึ่งอยู่ระหว่างป่าเขากระยาง ป่าสวนเมี่ยง 
• เส้นทางเดินเท้าศึกษาธรรมชาติ แก่งเจ็ดแคว และบริเวณลำน้ำสามารถล่องแพได้ 
• จุดชมวิวทิวทัศน์บนลานเขามะเขือ ซึ่งจะเห็นสภาพป่าและมีลำน้ำแควน้อยไหลผ่ากลาง รวมทั้งจะเห็นแก่งต่าง ๆ มากมายด้วย ในฤดูแล้ง 
• น้ำตก 9 ชั้น ในป่าเขากระยาง ซึ่งสวยงามมากในฤดูฝน 
• น้ำตก 5 ชั้น อยู่ห่างจากน้ำตก 9 ชั้น ประมาณ 500 เมตร สามารถทำเป็นเส้นทางเดินเท้าศึกษาธรรมชาติได้อีกแห่งหนึ่ง 
สิ่งอำนวยความสะดวก
• อุทยานแห่งชาติแก่งเจ็ดแคว ได้จัดสถานที่กางเต็นท์ไว้บริการนักท่องเที่ยว
การเดินทาง
• การเดินทางไปยังพื้นที่ที่จะกำหนดเป็นอุทยานแห่งชาติสามารถเข้าได้หลายทาง โดยทางหลวง หมายเลข 1 (พิษณุโลก-อุตรดิตถ์) แยกเข้าบ้านนาขามที่อำเภอวัดโบสถ์ ระยะทางประมาณ 51 กม. ทางหลวงหมายเลข 12 แยก (พิษณุโลก-หล่มสัก) แยกเข้าบ้านทรัพย์ไพวัลย์ ระยะทาง 95 กม. ส่วนระยะทางจากพิษณุโลกถึงแก่งขังดำ ซึ่งเหมาะที่จะตั้งสำนักงานที่ทำการอุทยานแห่งชาติเป็นระยะทาง 97 กม. ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 450 กม.
การติดต่อ อุทยานแห่งชาติแก่งเจ็ดแคว
• ต.แก่งโสภา,อ. วังทอง จ. พิษณุโลก 65220 โทรศัพท์ : 01 - 962-3578

อุทยานแห่งชาตทุ่งแสลงหลวง จังหวัดพิษณุโลก

อุทยานแห่งชาตทุ่งแสลงหลวง  จังหวัดพิษณุโลก 
• อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง มีพื้นที่ครอบคลุมท้องที่อำเภอวังทองอำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก และอำเภอหล่มสัก อำเภอเมือง อำเภอชนแดน จังหวัดเพชรบูรณ์ มีสภาพธรรมชาติ ทิวทัศน์และลักษณะทางธรรมชาติที่สวยงามหลายแหล่ง เช่น ถ้ำ น้ำตก ทุ่งหญ้า อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพันธุ์ไม้และสัตว์ป่านานาชนิด มีเนื้อที่ประมาณ 1,262.55 ตารางกิโลเมตร หรือ 789,000 ไร่ ได้ประกาศจัดตั้งเป็น "อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง" เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2506
ลักษณะภูมิประเทศ
• พื้นที่อุทยานแห่งชาตินี้มีลักษณะเป็นภูเขาคล้ายหลังเต่าสูง ๆ ต่ำ ๆ ทางด้านตะวันตกเป็นเทือกเขาหินปูนทอดเป็นแนวยาวตามทิศเหนือ - ใต้ ตอนกลางประกอบด้วย เทือกเขาสูงหลายแห่ง มีจุดสูงสุดคือ บริเวณเขาแค สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 1,028 เมตร ทำให้บริเวณนี้ เป็นต้นน้ำลำธารหลายสาย เช่น ห้วยเข็กใหญ่ ห้วยเข็กน้อย ลำน้ำทุ้ม คลองชมภู และคลองวังทอง เป็นต้น
ลักษณะภูมิอากาศ
• ในระหว่างเดือนมีนาคม-มิถุนายน เป็นช่วงที่อุณหภูมิสูงสุดประมาณ 29 องศาเซลเซียสฤดูฝนระหว่างเดือนกรกฎาคม- ตุลาคม มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยประมาณ 1,700 มิลลิเมตรต่อปี และในฤดูหนาว ระหว่างเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ โดยทั่วไปอากาศจะหนาวเย็นมากเหมาะแก่การไปท่องเที่ยว
พันธุ์ไม้และสัตว์ป่า
• สภาพป่าประกอบด้วย ป่าดิบเขา ดิบแล้ง และป่าเบญจพรรณ พันธุ์ไม้ที่สำคัญได้แก่ ไม้สนสองใบ ไม้ก่อ ยาง ตะเคียน มะม่วงป่า แดงน้ำ มะค่า สัก เก็ดแดง เก็ดดำ ประดู่ เป็นต้น และทุ่งหญ้าเป็นพื้นที่โล่งกว้างใหญ่ มีสนและไม้ดอกขึ้นสลับอยู่
• สัตว์ป่าประกอบด้วยสัตว์นานาชนิด ได้แก่ ช้าง เสือ กวาง เก้ง ลิง ค่าง หมูป่า กระต่าย และนกชนิดต่าง ๆ เป็นต้น ในฤดูหนาว ระหว่างเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ โดยทั่วไปอากาศจะหนาวเย็นมากเหมาะแก่การไปท่องเที่ยว
สถานที่ท่องเที่ยว
• น้ำตกแก่งโสภา เป็นน้ำตกกำเนิดจากลำห้วยเข็กใหญ่ ตั้งอยู่ห่างจากหลวงสายพิษณุโลก - หล่มสัก กิโลเมตรที่ 68 เพียง 2 กิโลเมตร เท่านั้น น้ำตกแห่งนี้เป็นที่รู้จักกันดีของชาวพิษณุโลกและจังหวัดใกล้เคียง เนื่องจากมีความสวยงามตามธรรมชาติที่สมบูรณ์มาก
• สะพานแขวน ตั้งอยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติ ประมาณ 3 กิโลเมตร บริเวณข้างทางจะตัดผ่านป่าตลอดเส้นทางมีความร่มรื่นเหมาะแก่การสัมผัสมากที่สุด
• ทุ่งแสลงหลวง เป็นทุ่งหญ้าแบบสวันนา อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติประมาณ 60 กิโลเมตร สภาพพื้นที่เป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ มีเนื้อที่ประมาณ 10 ตารางกิโลเมตร ตามเส้นทางจะตัดผ่านป่าเบญจพรรณจะพบสัตว์ป่าออกมาหากินตามข้างทางเป็นประจำและพันธุ์ไม้ดอกมากมายนอกจากนี้ยังมีทุ่งหญ้าแบบ สวันนาสลับกับป่าสนสองใบอีก 2 แห่ง คือ ทุ่งหญ้าเมืองเลนและทุ่งโนนสน ตามเส้นทางเดียวกับทางเข้าทุ่งแสลงหลวง
สิ่งอำนวยความสะดวก
มีบ้านพัก ร้านอาหารและสถานที่กางเต้นท์ไว้บริการนักท่องเที่ยว
การเดินทาง
• การเดินทางเข้าสู่อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง สามารถเข้าได้หลายทาง ทางที่สะดวกที่สุดคือ จากจังหวัดพิษณุโลกใช้เส้นทางทางหลวงแผ่นดินหมายเลข12สายพิษณุโลก - หล่มสัก ระยะทางประมาณ 80 กิโลเมตร ถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง
การติดต่อ
 อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง
• ตู้ ปณ. 64 อ.เมือง จ.พิษณุโลก 65120 โทรศัพท์ : (6612) 268019

ข้อมูลกิจกรรมท่องเที่ยว : ของฝาก จังหวัดพิษณุโลก

ข้อมูลกิจกรรมท่องเที่ยว : ของฝาก  จังหวัดพิษณุโลก
• ประเพณีการแข่งเรือยาว การแข่งเรือยาวเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของจังหวัดพิษณุโลก ที่ได้ยึดถือมาเป็นเวลาช้านาน จนกระทั่งปัจจุบัน จังหวัดพิษณุโลกจะจัดงานแข่งเรือยาวประเพณีประมาณเดือนตุลาคมของทุกปี หลังจากนำผ้าห่มมาห่มองค์พระพุทธชินราช ในงานนี้จะมีการประกวดขบวนเรือ การแข่งขันเรือยาวประเพณี และมีการประดับขบวนเรือต่าง ๆ สวยงามน่าชม งานนี้จัดขึ้นบริเวณแม่น้ำน่าน หน้าวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ
• ประเพณีปักธงนครไทย เป็นประเพณีดั้งเดิมของชาวอำเภอนครไทย โดยมีความเชื่อว่า อำเภอนครไทยคือ เมืองบางยาง ในอดีตซึ่งพ่อขุนบางกลางหาวใช้เป็นที่รวบรวมไพร่พลเพื่อขับไล่ขอม ในการต่อสู้ครั้งนั้น พ่อขุนบางกลางหาวได้รับชัยชนะ จึงทรงเอาผ้าคาดเอวผูกปลายไม้ไกไว้บนยอดเขาช้างล้วง เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะ ชาวนครไทยจึงได้ยึดถือเป็นประเพณีปฏิบัติในวันขึ้น 14 ค่ำเดือน 12 ของทุกปี โดยจะร่วมกันทอผืนธงผ้าฝ้าย และนำไปยังเขาช้างล้วงเพื่อปักธงชัย โดยมีพระสงฆ์ร่วมเจริญชัยมงคลคาถา กิจกรรมในงานได้แก่ การประกวดแห่ธง การแข่งขันผู้พิชิตเขาช้างล้วง การประกวดธิดาปักธง
• งานมหกรรมอาหารและสินค้าของที่ระลึกจังหวัดพิษณุโลก จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือนเมษายนและธันวาคมของทุกปี โดยเทศกาลนครพิษณุโลก ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือเขต 3 จัดรวบรวมร้านอาหารและร้านจำหน่ายของที่ระลึกที่มีคุณภาพและมีชื่อเสียงมาร่วมออกร้านในบริเวณสวนสาธารณะริมแม่น้ำน่าน มีผู้สนใจเดินทางมาร่วมชิมอาหารพื้นเมืองและซื้อหาสินค้าที่ระลึกจำนวนมาก
• กล้วยตากบางกระทุ่ม เป็นของฝากมีชื่อของพิษณุโลก กล้วยตากบางกระทุ่ม มีเนื้อนุ่ม รสชาติหอมหวานอร่อย น่ารับประทาน ซื้อหาได้ที่ศาลาขายของที่ระลึกในวัดใหญ่ หรือร้านค้าของที่ระลึกทั่วไปในตลาด
• แหนมและหมูยอสุพัตรา เป็นแหนมสดและหมูยอขึ้นชื่อของพิษณุโลก สะอาด รสชาติอร่อย เป็นอุตสาหกรรมครอบครัวของโรงงานสุพัตรา คนพิษณุโลกโดยแท้
• หมี่ซั่ว เส้นสีขาวนวล เมื่อนำไปปรุงอาหาร โดยเฉพาะผัดหมี่ซั่ว เส้นจะเหนียวนุ่ม น่ารับประทาน มีให้เลือกซื้อหลายยี่ห้อ ซื้อหาได้ทั่วไปตามร้านค้าของที่ระลึก
• น้ำปลาบางระกำ อำเภอบางระกำมีชื่อในเรื่องการทำน้ำปลามานาน โดยทำจากปลาสร้อยในลำน้ำยม แม้รสชาติไม่หอมหวานเท่ากับน้ำปลาทะเลหลายยี่ห้อ แต่รับรองคุณภาพได้ว่าเป็นน้ำปลาแท้ที่ไม่เป็นพิษภัยในการบริโภค
• ไม้กวาดนาจาน อำเภอชาติตระการเป็นอำเภอที่มีประชากรน้อย แต่ชาวบ้านได้พยายามทำอาชีพเสริมเพื่อหารายได้เพิ่มให้กับครอบครัว บ้านนาจานเป็นหมู่บ้านที่ทำไม้กวาดจากดอกหญ้าแท้ ๆ และใช้ด้ามหวายอย่างดี ฝีมือละเอียด ราคาไม่แพง
• สุนัขพันธุ์บางแก้ว ถิ่นกำเนิดอยู่ที่บ้านบางแก้ว ตำบลท่างาม อำเภอบางระกำ จากการสันนิษฐานและเล่าต่อกันมา พอสรุปได้ว่า หลวงปู่มาก สุวัณณโชโย (เมธาวี) เจ้าอาวาสวัดบางแก้ว ได้เลี้ยงสุนัขไว้ที่วัดหลายสิบปี ต่อมาวันหนึ่งสุนัขที่วัดผสมพันธุ์กับสุนัขป่า และได้ให้กำเนิดเป็นลูกสุนัขเป็นพันธุ์บางแก้วที่เป็นเอกลักษณ์ขึ้นมา
• เนื่องจากมีผู้นิยมเลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้กันมาขึ้น ทั้งใช้เฝ้าบ้านเฝ้าสวน หรือแม้กระทั่งเลี้ยงไว้ในเชิงพาณิชย์ และมีชมรมผู้เลี้ยงสุนัขบางแก้วหลายชมรมสำนักงานปศุสัตว์พิษณุโลกจึงได้กำหนดมาตรฐานของสุนัขพันธุ์บางแก้วไว้เพื่อรักษาไว้ซึ่งเอกลักษณ์ คุณสมบัติที่ดีของสุนัขพันธุ์นี้ โดยมีลักษณะทั่วไปเป็นสุนัขขนาดกลาง โครงสร้างเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส มีสัดส่วนค่อนข้างกลมกลืน ประกอบด้วยกล้ามเนื้อที่สมบูรณ์ แข็งแรง เคลื่อนไหวแคล่วคล่อง มีพฤติกรรมอารมณ์ที่ตื่นตัว ร่าเริง จิตประสาทมั่นคง ไม่ขลาดกลัว ซื่อสัตว์ ฉลาด หวงแหนทรัพย์สิน กล้าหาญ ฝึกง่าย เชื่อฟังคำสั่ง สามารถฝึกใช้งานได้ดี นอกจากนี้มีผู้เลี้ยงสุนัขบางแก้วบางท่านให้คุณสมบัติที่ดีเพิ่มเติม เช่น หัวกะโหลกควรใหญ่ ปากแหลม หูเรียวเล็กเป็นสามเหลี่ยม หูไม่ตก แผงขนบริเวณคอต่อกับหลังจะเป็นแผงขนยาวเรียบ ไม่หยักศกมาก ลำตัวได้รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส (ความยาวลำตัวจากขาหน้าถึงขาหลัง ยาวประมาณเท่ากับความสูงของลำตัว) ขาเหมือนขาสิงห์อวบใหญ่ได้สัดส่วน หางฟูเป็นพวง หางไม่บิดเอียงด้านใดด้านหนึ่งเมื่อหางไม่กระดิก พฤติกรรมนิ่ง ดุ รักเจ้าของ หากสุนัขตัวใดมีลักษณะครบถ้วนดังนี้ จะมีราคาสูง
• ไก่ชนพระนเรศวร หรือไก่เจ้าเลี้ยง เป็นไก่อูพันธุ์เหลือง หางขาว เป็นไก่มีสกุล มีคุณสมบัติทรหด แข็งแรง ชนได้ทนทานในการต่อสู้ และมีความเชื่อว่าเป็นไก่พันธุ์เดียวกับที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชนำไปตีกับไก่ของพระมหาอุปราชาแห่งกรุงหงสาวดี ปัจจุบันมีการอนุรักษ์เพาะพันธุ์จำหน่ายกันแพร่หลาย